โรงเรียนที่ไม่มีหนังสือ – แท็บเล็ตแทนทุกอย่าง | Not My School – EP.7

คุณกำลังอ่าน Not My School  วันนี้เราจะพาไปดูโรงเรียนที่ “ไม่มีหนังสือเรียน” เด็กไม่ต้องแบกกระเป๋าหนัก 
ไม่ต้องเปิดหน้าหนังสือหาโจทย์เลข เพราะทุกอย่างอยู่ใน “แท็บเล็ต”


นอร์เวย์ เดนมาร์ก และเอสโตเนีย ประเทศเหล่านี้ยกเลิกหนังสือเรียนกระดาษในหลายระดับชั้น และเปลี่ยนมาใช้ “แท็บเล็ต” เป็นสื่อการเรียนรู้หลัก
เด็กเข้าใจบทเรียนผ่านวิดีโอ 3 มิติ, แผนที่อินเทอร์แอคทีฟ, เกมคณิตศาสตร์ แล้วระบบนี้…ได้ผลจริงหรือ?

ประเทศที่ยกเลิกหนังสือจริง


1. นอร์เวย์
– รัฐจัดสรรแท็บเล็ต 1 เครื่องต่อเด็ก 1 คน 
– ใช้แอปเช่น Showbie, Explain Everything, Book Creator 
– ครูอัปโหลดใบงาน บันทึกเสียงสอน และวิดีโออธิบายเฉพาะรายคน

2. เอสโตเนีย
– มีแผน “Digital Turn” ตั้งแต่ 2014 
– โรงเรียนระดับประถมใช้ E-Textbook ผ่านแพลตฟอร์ม E-kool 
– เด็กทุกคนได้รับ “บัญชีเรียนรู้ดิจิทัล” พร้อม track ความก้าวหน้ารายบุคคล

3. ฟินแลนด์
– ไม่ได้ยกเลิกหนังสือทั้งหมด แต่มีนโยบาย “Digital First” 
– โรงเรียนมีสิทธิ์เลือกใช้สื่อดิจิทัลแทนกระดาษได้ 100% 
– ใช้ระบบคลาวด์สำหรับบริหารหลักสูตรรายชั้นเรียน

ข้อดีที่เกิดขึ้นจริง

1. ลดความเหลื่อมล้ำ
– เด็กยากจนไม่ต้องซื้อหนังสือหลายร้อยหน้า 
– ทุกคนเข้าถึงแหล่งข้อมูลเดียวกัน

2. ส่งเสริม Active Learning

– เด็กสามารถลองผิดลองถูกได้ทันที เช่น ปรับคำตอบในแบบฝึก 
– มีระบบ Feedback ทันทีเมื่อทำผิด

3. ครูสอนแบบ Differentiated Learning
– เด็กเก่งทำแบบฝึกเสริม 
– เด็กอ่อนย้อนเรียนบทก่อนหน้าได้อิสระ

4. เรียนรู้แบบ Multimodal
– ฟัง, ดู, เล่น, เขียน และพูดในบทเรียนเดียวกัน 
– เด็กเข้าใจเร็วขึ้น โดยเฉพาะผู้เรียนที่มีปัญหาด้านการอ่าน

ข้อถกเถียงและแนวทางแก้ไข

ข้อถกเถียง :
– หน้าจอทำให้สมาธิสั้นลง? 
– การอ่านบนกระดาษเข้าใจดีกว่าดิจิทัล? 
– เด็กควรได้สัมผัสจริงมากกว่าโลกออนไลน์?

งานวิจัยตอบว่า :
– University of Stavanger (2021): เด็กที่เรียนผ่านแท็บเล็ตมีพัฒนาการด้านความเข้าใจเท่าเทียมกับหนังสือกระดาษ หากมีการออกแบบบทเรียนดี 
– การใช้ stylus และฟังก์ชันจดบันทึก ช่วยให้การ “จดมือ” ยังไม่หายไป 
– ระบบ Hybrid ช่วยให้โรงเรียนมีทางเลือก ไม่ต้องสุดโต่ง

ผลลัพธ์ทางการศึกษา

– โรงเรียนที่ใช้สื่อดิจิทัลครบวงจรในนอร์เวย์ มีอัตราการขาดเรียนลดลง 12% 
– นักเรียนมีความพึงพอใจในการเรียนสูงขึ้น 27% (เทียบกับก่อนใช้ระบบ) 
– เด็กที่มีปัญหาทางการอ่าน-เขียน มีพัฒนาการเร็วขึ้น 30–40% ภายใน 1 ปี

เทียบกับไทย

– ไทยมีนโยบาย “แท็บเล็ตแจกฟรี” แต่ล้มเหลวในปี 2555–2557 
– ปัญหา: เนื้อหายังไม่พร้อม / ครูไม่รู้วิธีใช้ / ไม่มีระบบดูแลเครื่อง 
– ปัจจุบัน: โครงการ Smart Classroom มีเฉพาะบางโรงเรียน

ถอดบทเรียน

– “ไม่มีหนังสือ” ไม่ได้แปลว่า “ไม่มีความรู้” 
– แต่แปลว่า “ความรู้ถูกจัดรูปแบบใหม่” 
– เทคโนโลยีไม่ใช่คำตอบ…แต่ถ้าออกแบบดี มันคือ “โอกาส”

เด็กไทยยังต้องพึ่งการถ่ายเอกสารหน้าห้องอยู่หรือเปล่า?ในโลกที่ Google อยู่ในมือ เราควรยังยึดติดกับหนังสือกระดาษ… 
หรือควรออกแบบสื่อการสอนที่ทำให้ “ความรู้ขยับตามเด็ก”?

แหล่งข้อมูลและอ้างอิง

1. Norwegian Directorate for Education and Training (2022). ‘Digitalisation in Schools’. https://www.udir.no

2. Estonian Education and Youth Board (2021). ‘E-kool and Digital Turn’. https://www.hm.ee

3. Finnish National Agency for Education (2022). ‘Digital Learning Environments’

4. University of Stavanger, Norway (2021). ‘Paper vs. Screen Reading: Comparative Studies’

5. OECD (2020). ‘Digital Education Outlook: Pushing the Frontiers’. https://www.oecd.org

upload success
upload fail
File
uploading